ชายหนุ่มผู้นี้เริ่มจับงาน ธุรกิจของครอบครัว ตั้งแต่อายุ 20 ปี ประเภทอสังหาริมทรัพย์ (Land Developer) ซื้อที่และปลูกอาคารพาณิชย์ สุดท้ายผันตัวเองมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างงานตามแบบผู้ว่าจ้าง ผ่านไป 7 ปี ไม่มีทีท่าว่าจะรุ่ง แต่กลับร่วงธุรกิจถูกโกงถูกหลอกสารพัดและประสบความล้มเหลวยับเยินจึงต้องพลิกแนวไปเลียแผลตัวเองด้วยการเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกพักใหญ่
อาศัยความรู้ที่ เคยไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ มาตั้งแต่เด็ก อาวุธ อัศวชัยกุล ก้าวไปเป็นฝ่ายขายด้านต่างประเทศ ในธุรกิจค้าเหล็ก อยู่ประมาณ 5 ปี และในขณะนั้นเขาเริ่มมองหาธุรกิจของตัวเอง และพบช่องทางเข้าโดยบังเอิญ เริ่มจากการเป็นนักสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่มี (วงเหล้า) เป็นประจำของตัวเอง และทุกครั้งที่กินต้มยำหม้อไฟ ก็เห็นเครื่องต้มยำเหลืออยู่ทุกครั้ง จึงรู้สึกว่าน่าจะมีวิธีการกินต้มยำแบบใหม่ที่ไม่เหลือทิ้งเครื่องปรุงทุกอย่างซึ่งมีประโยชน์ ด้วยความชอบทำอาหารอยู่แล้ว จึงทดลองทำต้มยำที่ไม่มีน้ำ หรือต้มยำกรอบขึ้น จนรสชาติเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อน และญาติมิตร
จนกระทั่งถึงปลายปี 46 ภายใต้รัฐบาลทักษิณที่สนับสนุน เรื่องการกระจายรายได้สู่ชนบท 1 ผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล หรือโครงการโอท็อป ชายหนุ่มวัย 30 ต้น ๆ เริ่มไปสำรวจตลาด พบว่าพวกอาหารที่เป็นสมุนไพร หรือประเภทชีวจิตค่อนข้างมาแรง เพราะคนทั่วไปให้ความสนใจกับสุขภาพ “ต้มยำกรอบ” จึงได้ช่องเหมาะเจาะพอดีและในตลาดช่วงนั้นก็ยังไม่มีใครทำ เถ้าแก่หนุ่มน้อย จึงคิดทำการใหญ่ด้วยตัวเอง ทั้งด้านมาตรฐานรสชาติ ฉลากโภชนาการ แล้วก็เริ่มคลำทางมาเรื่อย ๆ แม้ล้มลุกคลุกคลานก็ไม่หยุดยั้ง
ด้วยความมั่นใจในความเป็นต้มยำ ว่าตัวมันเองสามารถขายตัวมันเองได้ แม้ครอบครัวที่เคยบาดเจ็บจากความล้มเหลวของธุรกิจก่อสร้างถึงขั้นต้องปิดตัวเองลง จะมีเสียงยับยั้งอยู่ในทีว่า “ทำไมรีบทำต้มยำกรอบเสียใหญ่โตทั้งที่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างของตลาดเลย” แต่ด้วยความมุ่งมั่น อาวุธ ยังคงเดินหน้าขายชื่อเสียงของต้มยำกรอบให้เป็นที่รู้จักของตลาดให้จงได้
กิจการของเขาเริ่มต้นอย่างจริงจัง เพราะเขาลาออกจากงานประจำมาบุกเบิก “ต้มยำกรอบ” เมื่อกลางปี 2546 และในปี 2547 ทั้งปี ตระเวนออกงานต่าง ๆ และเข้าประกวดโอท็อปปลายปี 47 และได้รับรางวัลโอท็อประดับ 5 ดาวของเขตบึงกุ่ม รวมทั้งประกวดโอท็อประดับแช็มเปี้ยน ทางกรมส่งเสริมการส่งออกก็มาคัดสรร ในที่สุดบริษัทไทยธัญญา จำกัด ได้เกรด A ต้มยำกรอบของเขาจึงได้ส่งออกประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และทางอเมริกา คือนิวยอร์ค เท็กซัส แอลเอ ซึ่งภายในเร็ว ๆ นี้ กำลังเปิดตัวที่ ออสเตรเลีย ในเวทีครัวไทยสู่ครัวโลกอีกแห่งหนึ่งด้วย
หากถามว่าถึงวันนี้ ต้มยำกรอบ ของไทยธัญญา ประสบความสำเร็จหรือไม่ เจ้าของธุรกิจหนุ่มรีบตอบว่า “ยังหรอก แต่ถ้าถามว่าเดินมาถูกทางหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า คิดว่าไม่ผิดแต่ถ้าสำเร็จสำหรับผมนั้น ต้องหมายถึงว่า เมื่อเอ่ยชื่อ ต้มยำกรอบ ทุกคนจะต้องนึกถึง ไทยธัญญาทันที และในอนาคตผมก็คาดหวังการขยายมากขึ้นต้องไปให้ไกลกว่าการเป็นโอท็อปครับ”
หนุ่มนักธุรกิจน้อยใหญ่หลายคนคงสนใจการให้นิยามของตัวเอง และค้นหาว่าเราอยากเป็นมนุษย์เงินเดือนหรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นลูกจ้างในบริษัทใหญ่โต หรือเป็นเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ สักแห่งความฝันคงอยู่ไม่ไกลถ้าได้เริ่มต้น และลงมือทำอย่างจริงจังเหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์ ต้มยำกรอบผู้นี้